ขอขมา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ กรกฏาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาขอขมา ให้ขอพระขมารัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเราไม่ได้แค่เกิดชาตินี้ เวลาเรานั่งอยู่ มีพวกปฏิบัติมาหาเยอะมาก เวลาปฏิบัติไปเห็นครูบาอาจารย์มา แล้วติเตียนครูบาอาจารย์ บางคนนะ พระบางองค์นะเห็นพระพุทธเจ้ามานะ แล้วติเตียนพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการนะ เราไม่อยากทำ พระนะหลายองค์มากมาหา เวลาปฏิบัติไป มันจะเห็นรูปเป็นพระพุทธรูปขึ้นมา หรือไม่ก็ตัวเองนึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วติเตียนๆ บางทีนะเห็นครูบาอาจารย์แล้วติเตียนๆ คำติเตียนมันมาจากไหน มันมาจากข้อมูลเดิมไง มันมาจากกรรม มาจากจิต
เห็นไหมพระในสมัยพุทธกาล เวลาพระตายไปตกนรกอเวจี แล้วพอหมดจากนรกอเวจีขึ้นมา เศษกรรมมาเกิดเป็นปลาทองคำ ชาวบ้านเขาไปทำการประมงจับปลานั้นได้ เกล็ดเป็นทองคำนะ พอเกล็ดเป็นทองคำ ถ้าเขาไปทำอะไรขึ้นมา สังคมมันแคบใช่ไหม เขาจะมีโทษ เขาเลยเอาปลานี่ไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเวลาไปถึงกลางท้องพระโรง อ้าปากขึ้นมา โอ๋ย..ปากเหม็นเต็มท้องพระโรงเลย เมื่อเต็มท้องพระโรง พระเจ้าปเสนทิโกศลรู้เลยว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ได้ ต้องไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณ ว่าอดีตชาติสิ่งที่สร้างสมมา เป็นเพราะเหตุใดมา ปลาทองคำตัวนี้ถึงทำกรรมอะไรมา
ไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก ปลาทองคำตัวนี้ แต่เดิมสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ไง ได้เผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เวลาพูดอย่างนี้ อย่างที่เราว่ากันนี่ ธรรมะพระพุทธเจ้าศึกษามาก็มาเผยแผ่ธรรม พอเผยแผ่ธรรมไป เทศนาว่าการไป โห..ลูกศิษย์มันเยอะ ใครเข้ามาๆ น่ะหลง ทีแรกก็พูดธรรมะพระพุทธเจ้าไง พูดไปพูดมา พูดธรรมะกูไง ธรรมะคิดเองไง คิดเองมันก็ออกนอกทางไง กรรมอันนั้นเห็นไหม กล่าวตู่พุทธพจน์ พูดบิดเบือนธรรมวินัย ตายไปตกนรกอเวจีมหาศาลเลย ตกนรกอเวจีนะ หมดเศษกรรมอันนั้นมาเกิดเป็นเดรัจฉาน เกิดเป็นปลา
พอเกิดเป็นปลานี่เห็นไหม เกล็ดเป็นทองคำ เกล็ดเป็นทองคำเพราะเขาบวชพระ เขาเคยบวชพระมา แล้วบวชพระมาทีแรกเห็นไหมเผยแผ่ธรรม ที่ว่าพอบวชมาก็ศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะก็แสดงธรรม แสดงธรรมก็เท่ากับเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ธรรมะบุญอันนั้นเกล็ดได้เป็นทองคำ เหมือนปลาตะเพียนเกล็ดเป็นทองคำเลย แต่เวลาอ้าปากมา ปากเหม็น เหม็นไปทั้งท้องพระโรงเลย ท้องพระโรงเลยเพราะเอาความเห็นแก่ตัวออกเผยแผ่ไง โอ๋ย คนนับหน้าถือตาเยอะนะ โอ๋ย..ลูกศิษย์ก็เยอะนะ โอ้..พูดใครก็เชื่อก็พูดไปเรื่อย ความเห็นอันนั้นพูดไปให้เขาเข้าใจผิด พูดให้เขาหลงออกนอกทางไป ตกนรกอเวจี พ้นจากนรกอเวจีขึ้นมาน่ะ เศษกรรมมาเกิดเป็นปลาทองคำ อยู่ในไตรปิฎก
เนี่ยๆ เศษบุญเศษกรรมอันนี้เห็นไหม เวลาเราขอขมา ชาติไหนเราทำอะไรกันไว้บ้าง เวลาผู้ปฏิบัติเห็นไหม พอจิตสงบนี่เยอะมาก บอกว่าตั้งรูปครูบาอาจารย์มาเลย แล้วก็ด่าๆๆๆ อย่างเดียวเลย ทำในแง่ลบหมดน่ะ แล้วเขาก็มาหาเรานะ พอมาหาเรา เขาก็แบบว่าเหมือนว่ามันทุกข์ร้อนในใจ ก็อาจารย์ผม ก็ครูบาอาจารย์ผมทั้งนั้นนะ ทำไมมัน..เราไม่ตั้งใจ เหมือนเรานอนฝันน่ะ เวลาเรานอนหลับไปแล้ว เราไม่ได้ตั้งใจนะ มันเป็นไปตามกรรมนะ มันรู้มันเห็นไปตามนั้น
นี่ก็เหมือนกัน พอมันเกิดขึ้นมา อู๋ย.. มันด่า พอมันด่า นั่นนะ เราบอกให้แก้ด้วยอย่างนี้ เวลาเราทำวัตรนะ เราสวดมนต์นะ ขอขมาไง ขอขมากับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ระตะนัตตะเย เนี่ย ระตะนัตตะเย ปมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง ฯ เห็นไหม ข้าพเจ้าขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ ที่ข้าพเจ้าไม่มีปัญญา ข้าพเจ้าพลั้งเผลอไป ขอขมาลาโทษ การขอขมาลาโทษนี่มันไปผ่อนคลาย ผ่อนเบา ผ่อนเบาสิ่งที่สะสมไว้ในใจ ใครจะรู้ก็ไม่รู้ แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด ท่านพาพวกเราผ่อนคลาย ผ่อนคลายเศษกรรม กรรมในหัวใจที่เราทำกันมา
แต่นี้เราทำกันสักแต่ว่า เราไม่ทำจากหัวใจ ถ้าคนเข้าใจทำจากหัวใจ มันก็ถอนนะ เหมือนเราเข้าใจผิดสิ่งใด คนมาบอกสิ่งใดให้เราเข้าใจถูกนะ ฮื่ม..โล่งอกเลยนะ กรรมนี่ก็เหมือนกัน ไอ้นี่เราเข้าใจผิดนะ แล้วเขามาอธิบายให้เราฟัง เราก็ยิ่งเกาหัวใหญ่เลยนะ ยิ่งอธิบายก็ยิ่งงงไง นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านพาทำนะ เอ๊ะ..ทำทำไมวะทำไมต้องระตะนัตตะเยวะ เอ้อ..ทำแล้วกูจะได้อะไรวะ เห็นไหมมันไม่ได้ออกมาจากใจ มันไม่ได้ออกมาจากฐานข้อมูลอันนั้น ฐานข้อมูลที่ได้สร้างเวรสร้างกรรมมา ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ระลึกถึงมันแล้วเปิดมันออก เปิดมันออก ทำลายมันออก
นี่สิ่งที่ทำได้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราบอกว่าทำกุศลต้องทำบุญกุศลนี่ ต้องถวายนู่นถวายนี่ถึงเป็นบุญกุศลนะ แต่ถ้าเราไม่มีทำอย่างไร แล้วทำบุญกุศลหลวงตาพูดประจำ ทำบุญกุศลมหาศาลเลย ถ้าไม่ภาวนาไม่กำหนดพุทโธเห็นไหม สิ้นสุดขบวนการของมันต้องลงที่ภาวนาหมด ก็การภาวนานี่ เหมือนของเราหายหมดเลยนะ ทำบุญกุศลได้ทานเป็นอามิสหมดเลย อาหารเต็มครัวเลยนะ แต่ไม่ทำปล่อยเน่าหมดเลย นี่ก็เหมือนกันทำบุญกุศลมหาศาลเลย พอทำกุศลมหาศาล ใจมันก็ชื่นบาน แต่ทำไมไม่ภาวนา การภาวนามันทำให้อาหารมันสุกขึ้นมา การภาวนามันทำให้จิตมันสุขขึ้นมา จิตของเราทำให้มันดีขึ้นมา ถ้าดีขึ้นมา ไม่มีทางอื่นใดนอกจากตบะธรรม การแผดเผาของตบะธรรม ตบะธรรมเห็นไหม ตบะธรรมเนี่ย การสร้างสติ การสร้างสมาธิ ปัญญาขึ้นมา มาทำลายมัน ถ้าสิ่งนี้มาทำลายมัน ประโยชน์มันเกิดตรงนี้ไง นี่การภาวนา
แล้วเราจะหวังพึ่งใคร องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้บอกทาง เราไม่มีทางจะพึ่งใครได้เลย เพียงแต่เราเกิดมาพุทธศาสนานี้ประเสริฐมาก ประเสริฐขึ้นมา ดูสิ เมื่อก่อนสมัยโบราณนะ แว่นแคว้นไม่มีประเทศ ไม่มีแผนที่ ใครมีกำลังก็ยึดครองในโลกนี้ ไม่มีใครกำหนดเขตแดนของใครได้ แล้วแต่กำลังของใครมากกว่า สมัยโบราณเห็นไหม จนมีแผนที่ขึ้นมา จนแบ่งเขตประเทศๆ อย่างนี้ได้ เราจะเข้าใจเลยโลกนี้มีส่วนใดๆ แล้วสัดส่วนเท่าไร แรงดึงดูด เราเข้าใจได้หมดเลย เพราะอะไรเพราะมันมีแผนที่ มีวิชาการ เราเกิดมาพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน ถ้าเราไม่ทำเราจะได้อะไร
นี่พอเราเป็นชาวพุทธนะ แหมกระหยิ่มยิ้มย่องนะ โอ้โฮ..เราเป็นชาวพุทธนะ พุทธศาสนาประเสริฐมากนะ แล้วก็ร่อนไปแล้วก็ร่อนกันมา แล้วพุทธศาสนาจะให้อะไรเราได้ล่ะ พุทธศาสนาเป็นพุทธศาสนานะ เราเป็นเรานะ กิเลสเป็นกิเลสนะ ธรรมเป็นธรรมนะ เราต้องทำขึ้นมา เราต้องต่อสู้ขึ้นมา เราต้องทำของเราขึ้นมา ถ้าเราทำขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเรา แต่เรามันมีสมบัติไง เรามีสิ่งภาชนะจะรับธรรมได้ คือหัวใจ คือความรู้สึก สุข ทุกข์ เนี่ยมันเป็นความสัมผัสกับธรรม
พระไตรปิฎกเห็นไหม จริงๆ เราก็เคารพ แต่เวลาเราพูด เราพูดถึงเรื่องกิเลส เราไม่ได้พูดว่าพระไตรปิฎก แต่เราพูดติเตียนกิเลสไง ถากถางให้กิเลสมันสำนึกตัวไง พระไตรปิฎกก็กระดาษเปื้อนหมึกโว้ย พระไตรปิฎกปลวกมันก็กินไปทั้งเล่มเลย เอาพระไตรฯมาต้มกินสิ ต้มกินแล้วได้อะไร ต้มกินก็ได้กินแต่น้ำ แต่ถ้าเราศึกษามาแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ เวลาอ่านพระไตรปิฎกขึ้นมาน้ำตาไหลเลย โอ้โฮ หลวงตาท่านพูด อ่านถึงพุทธประวัตินะ พระพุทธเจ้าลำบากขนาดนี้เชียวหรือ โอ๋..พระพุทธเจ้าลงทุนขนาดนี้เชียวหรือ โอ๋..พระพุทธเจ้ามีจริงเลยหรือ ยิ่งอ่านไปยิ่งกระเทือนใจ สะเทือนใจมันก็มีการกระทำใช่ไหม เราอ่านพระไตรปิฎกสิ่งที่มันกระเทือนใจ อะไรมันสะเทือน หัวใจมันสะเทือนใช่ไหม
อ่านพระไตรปิฎก หัวใจมันหวั่นไหวใช่ไหม เมื่อหัวใจมันหวั่นไหว มันหวั่นไหว แล้วทำไมเราไม่ทำ ถ้าเราทำขึ้นมาได้สติปัญญาขึ้นมา มันแก้ไขกันที่นี่ มันเกิดมรรคญาณ เกิดการกระทำ เกิดสิ่งที่เป็นมีคุณค่ามันเกิดที่นี่ เนี่ยใจมันสัมผัส ใจมันสัมผัสนะ ใจมันรับรู้ธรรมะ สมาธิก็มีแต่ชื่อ ปัญญาก็มีแต่ชื่อ นี่อวดด้วยนะ ปัญญาๆ นี่เป็นพุทธศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอย่างมึงปัญญากิเลส กิเลสมันครอบปัญญามึงอีกทีน่ะ.. กิเลสมึงคุมปัญญามึง แล้วเอาปัญญามึงมาใช้น่ะ แล้วมันก็หลอกไง อู๋ย.. ธรรมะ โอ้โฮย..สมาธิ โอ้โฮย..นิพพาน ว่างๆ ว่างๆ เขาพูดกันอย่างนั้นหรือ ความจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือ
เนี่ย..กิเลสมันหลอกอีกชั้นหนึ่งไง กิเลสบังเงา เวลากิเลสมันออกไปทางโลกใช่ไหม มันตัณหาความทะยานอยาก มันทำลายตัวมันเอง รู้จักๆกิเลสแท้ๆเลยนะ พอกิเลสมันคิดถึงธรรมะ กิเลสคิดถึงธรรมนะ วันนี้เป็นธรรมะไง เป็นกิเลสได้อย่างไร อ้าว.. กิเลสมึงคิด กิเลสมันบังเงา กิเลสมันเหมือนกับเราเห็นไหม ดูสิ ทำดีๆ ใครๆ เขาก็ช่วงชิงทำคุณงามความดีกัน ทำดีๆ เนี่ย..ถ้ามึงทำดีขึ้นมา มันก็เป็นความดีของมึงนะสิ มึงไม่ได้ทำดีเลย มึงไปแอบอ้างความดีของคนอื่นมาเป็นของมึง
นี่ก็เหมือนกัน แอบอ้างธรรมะว่าเป็นธรรมของเราไง นี่กิเลสมันหลอกอีกชั้นหนึ่ง แล้วคิดความดีนั่น ตรึกในธรรมเลย โอ๋ย..ธรรมะเกิด โอ๋ย..จินตนาการไปเรื่อยเลย แต่กิเลสมันบังอยู่เห็นไหม ฉะนั้นการปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ กิเลส อุปกิเลส กิเลสหยาบๆ กิเลสมีการถากถางทำลายกัน อุปกิเลสเห็นไหม โอภาส สว่างไสว ความสว่าง ความว่าง อุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบ คือ ความฟุ้งซ่าน ความทุกข์ ความยาก ตัณหาความทะยานอยาก พอเราควบคุมจิตเข้ามา มันละเอียดเข้ามา จนจิตมันสงบเข้ามา มันเป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดไง แล้วมันก็บังเงา บังเงาอ้างว่าธรรมะ
แล้วเราก็หลงตามมันไป พอหลงตามมันไป ทีนี้พอจิตมันเสื่อมนะ คำว่ากิเลสมันเป็นเรื่องดิบๆ ใช่ไหม มันดิบๆ ความเห็นหยาบๆ ใครก็จับต้องได้ แต่พอมันเป็นความดีของเรา เป็นความว่างของเรา เป็นแสงสว่าง เป็นโอภาสของเรา เราว่านี่นิพพาน นี่ไงกิเลสอย่างละเอียดไง ละเอียดจนจิตมันไม่รู้ ละเอียดจนเราไม่รู้ตัว เราไม่รู้ตัวว่านี่เป็นกิเลสนะ เราคิดว่าเป็นธรรมๆ ไง เนี่ย..มันบังเงา มันบังเงาอีกชั้นหนึ่งเห็นไหม
ถ้ากิเลสนะ สิ่งที่มันเป็นในหัวใจ จิตใจเนี่ยมันสัมผัส ถ้ามันมีการสัมผัส มันจะรู้ของมันว่า กิเลสอย่างหยาบๆ เราต่อสู้กันมาอย่างไร แล้วมันละเอียดเข้ามา ส่วนที่มันเป็นละเอียด ที่เราจะต่อสู้ๆกับมัน ทำลายมันออกไปเห็นไหม ว่างคู่กับไม่ว่าง ใสคู่กับขุ่นมัว สว่างขนาดไหนคู่กับมืด มันเป็นมืดหมดน่ะ มันเป็นสัญญา มันเป็นสมมุติที่เราสื่อกันนะ ว่างๆ เป็นสัญญาที่สื่อกัน แต่ความจริง ว่างคู่กับไม่ว่าง อะไรว่าง ของอะไรมีมันว่าง ว่างเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลง แต่เราสืบกันนะ แล้วว่าง เอ็งว่า ข้าก็ว่าง เด็กก็ว่าว่าง หมาเราก็เห่าว่างๆๆๆ เหมือนกัน หมาก็เห่าเหมือนกัน แล้วมันว่างของใคร
แต่ถ้าเป็นความจริง มันมีคุณค่าของมันนะ มันมีที่มาที่ไป มันอธิบายได้เห็นไหม มันเรื่องของหัวใจนะ ระตะนัตตะเยเนี่ย รู้หรือไม่รู้ ถ้าเราไม่รู้นะ เราก็ทำสักแต่ว่ากัน แต่ถ้ารู้นะ การเกิดและการตายของเราเนี่ย มันซับซ้อนมามหาศาล นี่การเกิดการตาย พอสิ่งนี้มันซับซ้อนมา มันถึงตกผลึกในใจ จริตนิสัย อำนาจวาสนา มันตกผลึกมาจากใจเรา ดูชาตินี้สิตั้งแต่เด็กมาจนป่านนี้ เราทำอะไรมาบ้าง อะไรบ้างที่มันฝังใจเรามา การฝังใจอันนั้นมันจะฝังใจจนเป็นนิสัยไปข้างหน้า แล้วสิ่งที่มาเป็นเดี๋ยวนี้มันมาจากไหน พอมาจากไหนปั๊บ แล้วมันมาแง่บวกมันก็ดีไป มาแง่บวกเห็นไหม ทุกคนทำแล้วประสบความสำเร็จ ทุกคนต้องทำคุณงามความดี บางคนนั่งภาวนาไป หัวหกก้นขวิดนะ ทุกข์มากๆ เพราะอะไร
สมัยพุทธกาลในปาติโมกข์เห็นไหม ภิกษุตั้งใจปฏิบัติ ภิกษุตั้งใจสวดปาติโมกข์ ภิกษุไปกลั่นแกล้ง ภิกษุไปพูดให้เขาหมดกำลังใจ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แล้วมันก็มีจูฬปันถก มหาปันถกเห็นไหม มหาปันถกเป็นพระอรหันต์ ชีวิตระทมมากนะ ชีวิตพ่อแม่นะ แม่หนีตามทาสในบ้านออกไป พอแม่หนีตามทาสในบ้านออกไป เวลาเกิดลูกแล้ว สุดท้ายจะขอกลับ พ่อแม่ไม่เอา พ่อแม่ไม่เอาลูก เอาหลาน เอาหลานกลับมา พอหลานกลับมาอยู่บ้านเห็นไหม พอหลานกลับมาอยู่บ้าน เวลาเขาถามว่าลูกใคร ปู่ก็อาย ตาก็อาย เอ้าก็ลูกสาวหนีตามเขาไป แล้วพอเกิดมาลูกสาวไม่เอา เอาหลานกลับมา แล้วเวลาเพื่อนถามนี่มันลูกใคร มันก็บาดเจ็บในหัวใจตลอดเวลา
ทีนี้พอเด็กมันโตขึ้นมา มันก็เศร้าใจในชีวิตไง ก็ขอบวช พอบวชไปตรงนี้มหาปันถกเป็นพระอรหันต์ มีน้องอยู่คนหนึ่ง ก็จะเอาน้องมาบวช พอน้องมาบวช พี่ชายเป็นพระอรหันต์ใช่ไหม ก็ให้น้องท่องภาษาบาลีอยู่คำหนึ่ง ท่องอย่างไรก็ท่องไม่ได้ ท่องอย่างไรก็ท่องไม่ได้ พี่ชายก็อาย ทำไมน้องเรา เป็นพระอรหันต์มีลูกศิษย์มหาศาลเลย น้องเราทำไมมันเป็นอย่างนี้ น้องเราสอนไม่ได้ เอ็งสึกไป พอจะสึกไปพระพุทธเจ้ารู้ อนาคตังสญาณ รู้ถึงบุญกุศลนะ ไปดักรออยู่เลย เวลาการแก้เห็นไหม เราจะบอกตรงๆ ไม่มีใครฟังหรอก เหมือนเราจะบอกใครนี่ ต้องบอกให้เขาไม่รู้ตัวเลย ต้องบอกให้เขาแบบว่าช็อก หรือให้เขาสำนึกตัวได้
จูฬปันถกก็เหมือนกัน จะไปสึก คอตกไปเลยนะ พระพุทธเจ้าไปดักหน้าเลย จูฬปันถกเธอจะไปไหน จะไปสึก ทำไมล่ะ พี่ชายให้สึก พี่ชายเอ็ด พี่ชายว่าเสียใจก็จะไปสึก เธอบวชเพื่อใคร บวชเพื่อพระพุทธเจ้า ถ้าบวชเพื่อเราไม่ต้องสึก มา มานี่จูฬปันถก เอาผ้าขาวให้ลูบ ผ้านี่ขาวหนอๆ แล้วมือน่ะลูบผ้าขาว มันจะขาวไหม ลูบๆๆๆ ผ้ามันดำน่ะ มันตรงกับสิ่งที่สร้างมา ปิ๊ง เป็นพระอรหันต์เลย พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระก็ถามพระพุทธเจ้าว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมคนที่ท่องภาษาบาลีคำเดียวยังไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ทำไมมีอำนาจวาสนาเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ
พระพุทธเจ้าบอกว่า แต่เดิมกรรมมันซับซ้อนกันมาที่เกิดตาย เกิดตายนี่ แต่เดิม เป็นกษัตริย์นะแล้วออกตรวจพลสวนสนาม พอออกตรวจพลสวนสนาม กษัตริย์ใช่ไหม รถม้าในสมัยโบราณน่ะ มันก็มีฝุ่นใช่ไหม นี้พอกษัตริย์มันมีผ้าเช็ดหน้า ผ้าขาวเนี่ย เช็ดหน้าไว้ เช็ดหน้า พอเช็ดออกมา อู้หู..มันดำหมด มันดำหมดเลย มันสะเทือนใจเห็นไหม เนี่ย..สิ่งนี้มันเป็นอสุภะ เป็นสิ่งต่างๆมันก็ฝังใจมา นั่นฝังใจมาเฉยๆ นะ อันนี้ฝังใจมา พอมาลูบผ้าขาว มันก็ไปตรงกับสิ่งที่เราได้สร้างไว้ชาติหนึ่ง แล้วมาในชาติปัจจุบัน แล้วมันตรงกันมันพลั้ว มันทะลุไปเลย
เอ้า แล้วทำไมท่องภาษาคำเดียวทำไมทำไม่ได้เลย เพราะเป็นกษัตริย์มาก่อน อีกชาติหนึ่งเป็นนักบวชมีปัญญามาก แล้วพระเขาท่องปาติโมกข์กัน พระได้ศึกษากัน ไปดูถูกเขาไง เราเป็นคนฉลาดใช่ไหม เห็นคนโง่ก็ไปดูถูกเหยียดหยามเขา แล้วเขาคนโง่ เขาไม่คนโง่หรอก เขาคนปานกลาง เขาคนหมั่นศึกษา แต่ไอ้พวกไบร์ทๆ มันชอบดูถูก ชอบล้อเล่นน่ะ จนพวกนั้นเขาอายเขาไม่กล้า จึงสึก เขาไม่กล้าเรียน อายจนแบบมันเสียไป กรรมอันนี้ทำให้เกิดมาท่องบาลีคำเดียวไม่ได้เลย เนี่ยกรรมมันบังเห็นไหม กรรมมันซับซ้อนกันมา เนี่ยซับซ้อน
ถึงที่สุด พระพุทธเจ้าเนี่ย อนาคตังสญาณ จะรู้ว่าเราต้องทำอย่างไร แล้วพูดอย่างนี้ปั๊บ ทุกคนก็อยากพบพระพุทธเจ้าเนาะ นี่อยากจะให้พระพุทธเจ้าบอกว่า นั่งแบบนี้แล้วจะได้เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ ทุกคนก็อยากจะเจอพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นบุญกุศล เป็นกรรม ถ้าเราเจอพระพุทธเจ้าแต่เราไม่ได้สร้างบุญกุศลมา เจอพระพุทธเจ้า เราก็จะเดินหนีจากพระพุทธเจ้า เพราะปัจจุบันนี้ เพราะจิตใจเราเปิดต่างหากล่ะ เพราะจิตใจเราเปิด จิตใจเราใฝ่หาเราถึงคิด แต่ถ้าจิตใจเราไม่เปิด เจอพระพุทธเจ้าก็เดินหนีพระพุทธเจ้า แต่ตอนนี้เพราะเราคิดอย่างนี้ นี่กรรมของคน วาระมันไปเป็นชั้นๆ ชั้นๆ นะ
นี่ไง เพราะอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้ เราถึงให้ เวลาขอขมาลาโทษ ก็กลับมาที่ใจของเราไง เราขอขมาลาโทษเพราะสิ่งใด เราพลั้งเผลอแม้แต่ชาติใดก็ไม่รู้ เราทำสิ่งใดไปก็ไม่รู้ เห็นไหมเมื่อก่อนถ้าเราไม่ศรัทธาในศาสนา เราเห็นพระเห็นเจ้าเราก็ดูถูกกันนะ เราเนี่ยในบ้านของเราเอง พ่อแม่เราไม่ศรัทธาในนี้ คนจีนทุกคนบอกพระนะขี้เกียจ แล้วแต่สังคมเห็นไหม เตี่ยเราเองพูดเองไง พระเนี่ยขี้เกียจ แล้วถ้าเราไม่ได้บวชมาเราก็ไม่รู้นะ เออถ้าเราอยู่บ้านนอกเราก็จริงเนาะ ที่สังคมเขาถากถางกัน เช้าก็ฉัน เพลก็นอน ก็ว่ากันไป
แต่พอบวชเข้ามาแล้ว มันจะนอนไหม มันจะนอนไหม เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ของเราทำอยู่น่ะ ๒๔ ชั่วโมง นั่งที ๑๒ ชั่วโมงอย่างนี้ เนี่ยทรมานกิเลส มันอยู่ที่สังคมไง ถ้าใครไม่ได้เข้ามาวงในจะไม่รู้ว่า ขณะที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง แล้วสังคมที่เป็นจริงที่ชักนำ มีผู้ชี้นำอยู่มันจะมีขนาดไหน แล้วสังคมปัจจุบันนี้ คนสำคัญมากนะ ผู้นำไม่จริง ผู้นำไม่จริงเนี่ยทางวิชาการเนี่ย เราไม่สามารถเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในวงทางวิชาการ เวลาเกิดขึ้นมาจะมีการโต้แย้งกัน แล้วใครจะสรุปลงได้
ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน แล้วจะสรุปลงได้ เราฟังมาเยอะอย่างพระมาหาเราเนี่ย อย่างหลวงปู่เจี๊ยะ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยเห็นไหม ต้องขาด ต้องขาด มันมีกลุ่มหนึ่ง เดี๋ยวนี้พระมีอยู่กลุ่มหนึ่ง เขาจะขาดก็ให้เขาขาดกันไปเถอะเนอะ เราไม่ต้องขาดเราก็อยู่กันภาษาเราอย่างนี้ ของเราก็ใช้ได้ เขาว่ากันอย่างนั้นก็มีนะเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องขาดหรอก คำว่าไม่ต้องขาดเนี่ย มันชัดเจนมาก คำว่าไม่ต้องขาด มันตทังคปหาน แล้วเขาไม่เคยมีไง คนที่ไม่เคยมีขาด คนไม่เคยมีสมุจเฉทปหาน เขาไม่รู้จักสมุจเฉทปหาน พอเขาไม่รู้จักสมุจเฉทปหาน เขาพูดถึงสมุจเฉทปหานไม่เป็น พอเขาพูดสมุจเฉทปหานไม่เป็น จิตเราไม่ถึงใช่ไหม เราก็บอกถ้าเขาสมุจเฉทปหานกัน เขาจะขาดก็ปล่อยเขาไปเถอะ สังคมหนึ่งก็ปล่อยขาดขาดกันไป ไอ้เราไม่ขาดเราก็อยู่สังคมของเราเถอะ คำพูดอย่างนี้ก็เยอะ
เวลาพระมาหาเรา มาคุยกับเราเรื่องการภาวนา ข่าวจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง เนี่ยสังคมกลุ่มหนึ่งเขาคิดอย่างไร สังคมกลุ่มหนึ่งเขาคิดอย่างไร แล้วครูบาอาจารย์ของเราทำอย่างไร มันเป็นจริงอย่างไร เรารับฟังไว้เยอะมาก พอรับฟังไว้เยอะ ที่บ้าบอคอแตกอยู่ก็เพราะเรื่องนี้ เวลาเราพูดออกไป ใครไม่รู้หรอกว่าเราพูดนี้เอามาจากไหน ก็คิดว่าเมื่อคืนเราฝันไม่ดีมั้ง เช้าขึ้นมาก็ตะเบ็งใหญ่เลย ไม่ใช่ ข้อมูลมันอัดแน่นอยู่ในนี้แล้ว เพียงแต่ใครจะพูดสิ่งใดมากระทบเฉยๆ ข้อมูลมันมีอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า มันกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์นะ สังคมมันเป็นไปอย่างนั้น แล้วเราเกิดมาแล้วมันอยู่ที่วุฒิภาวะ ถ้าวุฒิภาวะมันมีนะ มันฟังธรรมของครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นชัย มันฟังแล้วมันดูดดื่ม แล้วมันมีความมุมานะที่จะกระทำ แต่ถ้าจิตใจเราอ่อนแอนะ พอเวลาฟังธรรมะที่เข้มข้นน่ะ โอ้..เราทำไม่ไหวนะ เราทำอย่างนี้ไม่ได้น่ะ แต่พอไปเจอเขาพูดธรรมะปานกลาง หรือธรรมะพออยู่พอกิน ที่ว่ากันไปน่ะ เอออย่างนี้เราทำได้ เนี่ยวุฒิภาวะของจิตเรามันไม่เข้มแข็ง มันไม่มีวุฒิภาวะที่รองรับอย่างนั้นได้
ถ้ารองรับนี่ไง ในอภิธรรมเห็นไหม พระอรหันต์ต้องสร้างมาแสนกัป พระพุทธเจ้าต้อง ๔ อสงไขยอย่างต่ำ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่อันนี้นี่ไง พออย่างนั้นปั๊บ เราถึงย้อนกลับมา เราสังเกตุตรงนี้เยอะนะ สังเกตุเวลาคุยกับโยม คุยกับพวกปฏิบัติน่ะ เชาว์ปัญญามีมาก มาหาเรา เวลาเราพูดเลย เฮ่ย เขาไม่ดูจิตนะ เขาพิจารณาจิต เออ.. ได้แล้วๆ กลับเลยนะ มาจากพังงา บอกว่าเขาใช้พิจารณา เขาไม่ใช่ดู โอ๋..หนูไม่รู้ หนูดูมาตั้งนานน่ะ อ๋อ.. พิจารณาเหรอ อ๋อ.. หนูได้แล้วหนูกลับเลย นี่ไงเราถึง อ้อ.. เขาเร็ว บางคนมานะ มาถึงเขาบอกเลย เขาพิจารณาของเขานะ เราบอกเลย ไม่ใช่กู ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู คือ กู เออ.. กลับเลยเหมือนกัน ก็มันไม่ใช่อะไรหมดเลย มันก็ไม่มีอะไรใช่ไหม ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไรหมดเลย ไอ้ตัวที่บอกไม่ใช่คือตัวกิเลสน่ะ เออ เอ๊อะ ได้แล้วครับ ได้แล้วครับ กลับเลย
อันนี้เราจะยกขึ้นมาตรงนี้ให้เห็นว่าเห็นไหม เชาว์ปัญญาของคน บอกแค่นี้นะ เขาพูดคำนี้เลยนะ คนที่ได้ คนที่ภาวนาเนี่ยบอก ได้แล้ว ได้แล้ว.. ดูพูดอย่างนี้ก็เหมือนยกตัวเองเนอะ ดูหลวงปู่คำดีเห็นไหมพอหลวงตาพูด เอ๊อะๆๆ ได้แล้วๆ พอได้แล้วมันจับทางได้แล้ว แล้วเราจะทำของเราไปได้ไหม ถ้าเราจับทางได้ การจับทางได้ หัวใจมันจับทาง มันเหมือนเรามีช่องทางที่จะดำเนินการต่อไป ไอ้นี่มันอยู่ที่เชาว์ปัญญานะ อยู่ที่อำนาจวาสนานะ คำพูดคำเดียวกันนี่
ดูสิ พระอัสสชิเทศน์พระสารีบุตร ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พอฟังปิ๊งเป็นพระโสดาบันเลย พระสารีบุตรไปพูดให้พระโมคคัลลานะฟัง พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบันเลย ชาวพุทธท่องกันปากเปียกปากแฉะเลย เย ธัมมา เหตุปปะภะวา ท่องได้ทุกคนเลย ท่องกันทุกวันเลย เช้า กลางวัน เย็น ไม่เห็นได้อะไรเลย เนี่ย.. วุฒิภาวะของใจ ใจที่รองรับมันยังไม่มี มันยังเกิดมาไม่ได้ พูดคำเดียวนะ ฟังทีเดียวนะพระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันเลย พระสารีบุตรฟังพระอัสสชิไป ไปพูดให้พระโมคคัลลานะฟังอีกต่อหนึ่ง พระโมคคัลลานะฟัง ปิ๊ง เป็นพระโสดาบันเลย
สิ่งที่เป็นอย่างนี้มันเป็นเพราะเหตุใด ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดบ่อย ที่พระไปฟัง จะไปถามธรรมะพระพุทธเจ้านะ ฝนมันตกอยู่เห็นไหม น้ำนี่นองหมดเลย น้ำจากชายคามันตกมาเป็นต่อม เป็นต่อม มันแตก คือว่าเป็นต่อมมันแตก คือ อนิจจังไง ไอ้เราปัญญาหมุนอยู่ มันก็คิดเรื่องไตรลักษณ์นี่แหละ แต่มันหมุนของมัน เหมือนเราชุลมุนชุลเกทำงานยุ่งไปหมดเลย อู๋ย.. มันนึกอะไรไม่ออก จักรมันหมุนมาก ปัญญามันหมุนติ้วๆ หมุนจนเราก็หมุนไปกับมันนะ หมุนจนไม่รู้เรื่องนะ แต่ปัญญามันก็หมุนอยู่ เอ๊.. อย่างนี้ต้องไปถามพระพุทธเจ้า
พอไปถามพระพุทธเจ้านะ ฝนมันตก ขึ้นไม่ได้เพราะฝนมันตก น้ำมันจ่อลงมา ทีนี้คนปัญญามันหมุนใช่ไหม ปัญญานี้มันหมุนอยู่ ทีนี้เวลารอเฝ้าพระพุทธเจ้า ทีนี้รอเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่มันก็พัก พอมันพัก น้ำมันตกมันเป็นน้ำนอง มันเป็นฟองขึ้นมา มันดูตรงนั้นนะ พอดูตรงนั้นปุ๊บ มันกระทบถึงข้างในนะเห็นไหม มันกระทบเข้ามาเพราะเรามอง ปัญญามันหมุน มันมอง มันกระทบๆ ปิ๊ง ก็มันเป็นต่อม เป็นฟองขึ้นมา มันก็แตกไง เนี่ย..มันตกมันก็แตกไง ไอ้ปัญญามันหมุนเข้าไป มันก็เกิดไตรลักษณ์ไง พั้วะ เป็นพระอรหันต์เลย
การกระทำเนี่ยเวลาผู้ประพฤติปฏิบัติ ทำไมถึงเป็นพระโสดาบัน ทำไมถึงเป็นพระสกิทาคามี ทำไมถึงเป็นพระอนาคา ทำไมถึงเป็นพระอรหันต์ มันต้องมีเหตุมีผลของมันนะ แล้วเหตุผลในพระไตรปิฎก เป็นเหตุผลของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุผลเป็นทฤษฎี แล้วถ้ามึงทำไม่ได้มึงไม่มีเหตุผล มึงทำไม่เป็น ก็อย่างที่ว่า พระมาถามก็ตอบไม่ได้ พระมาถามนะตอบไปนะ เลี่ยงๆ ธรรมดาพรรษาเยอะใช่ไหม มีสถานะใช่ไหม ก็พูดหลบไปหลีกมา ไอ้คนฟังก็ไม่รู้นะก็เออๆอาๆ ก็นึกว่าเป็นธรรมะกันนะ เลยกลายเป็นโรคเอ๋อไง เออๆๆ เอ๋อกันไปก็เอ๋อกันมา ไม่รู้เรื่องเลย
แต่ถ้าเป็นความจริงต้องพูดให้ชัดเจน ต้องชัดเจน ถ้า ธรรมสากัจฉา มีการโต้เถียงกัน ไม่อาจารย์ผิดก็ลูกศิษย์ผิด อาจารย์ก็ผิดได้ ลูกศิษย์บางทีไปก่อนอาจารย์เช่น หลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่เสาร์เป็นคนเอามาบวช หลวงปู่มั่นพิจารณาก่อน หลวงปู่มั่นกลับมาแก้หลวงปู่เสาร์ ลูกศิษย์อาจจะไปดีกว่าอาจารย์ก็ได้ อาจารย์ถ้าอาจารย์เป็นอาจารย์ที่แท้จริง อาจารย์ต้องดีกว่าลูกศิษย์ อาจารย์ต้องไปถึงเป้าหมายแล้วอาจารย์ถึงมาสอนลูกศิษย์
สิ่งที่การกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นมา เราเห็นการประพฤติปฏิบัติ เราถึงย้อนกลับมาที่ใจไง ย้อนกลับมาที่ใจ ย้อนกลับมาที่เราสำรวมระวัง ธรรมดาเราก็เกิดมาชาตินี้เราก็เป็นเด็กมาก่อน เราก็เที่ยวมาเยอะล่ะ เราก็หัวหกก้นขวิดมาพอประมาณ เรื่องชีวิตทางโลกนะ เสร็จแล้วเราก็ทิ้งมันมา ทิ้งมันมาแล้วเรามาเอาจริงเอาจัง เพราะก่อนที่เราจะมาบวชเราคนจริงคนหนึ่ง อยู่กับสังคมเนี่ยจริงมาก แล้วก็คิดว่ามันจะจริงกับเราตลอด แต่มันไม่เคยจริงกับเราเลย
ทำให้เราคิดมากว่า ในโลกนี้อะไรคือความจริง แล้วไปหาทางไหนก็ไม่เจอ ตอนนั้นไม่เคยคิดจะบงจะบวชทั้งนั้นน่ะ แต่มองไปเห็นพระ อื่อ..มันน่าจะมาทางนี้ เราจะเข้ามาค้นหาความจริง แล้วเราก็มาบวช แล้วเรามาบวชแล้วเราก็ทำของเราจริงๆ ทำจริงๆ ค้นจริงๆ เอาจริงๆ ถ้ามันจะตายอะไรตายก่อน ขอดู มันหลอกตัวเองตลอด เราเนี่ยการประพฤติปฏิบัติจะตายด้วยการอดอาหาร ด้วยแบบว่าร่างกายก็หลายที จะตายโดยกิเลสหลอก คือ ตายโดยความคิด ความคิดมันบอกว่ามึงตายแน่นอนเลย มันสร้างภาพความตายให้เห็นเลยก็หลายที
เวลามันจะตายขึ้นมา ก็บอกกับมันว่า อะไรตายก่อนขอดู อะไรจะตายก่อนวะ ถ้าตายนะ ตายไม่ใช่ถอยนะ ตายโดดเข้าใส่เลย โดดเข้าใส่ความตายเลย อะไรตายกูขอดู แล้วมันไม่มี มันถึงบอกว่าธรรมะมันอยู่ฟากความตาย พอถึงที่สุดแล้วจิตมันจะหลอกว่า เราจะตาย พอเราจะตายจะขาอ่อนเลย เราจะตายเหรอ เอาพักไว้ก่อนพรุ่งนี้ดีกว่า เรียบร้อย.. พอจะตายปั๊บเราจะถอยเลย แต่ของเราถ้าจะตาย อะไรจะตายก่อนวะ ตายเนี่ยลมมันออกก่อน หรือจิตมันจะออกก่อนวะ หรือว่าเลือดมันจะดับก่อนวะ ขอดูหน่อย..อะไรมันจะตาย เราใส่เข้าไปเลยนะ ใส่เข้าไปเลย ใส่เข้ามาตลอดหลายเรื่องมากเวลาปฏิบัติ
ฉะนั้นจะบอกว่าการปฏิบัติน่ะมันมีเหตุมีผลของมัน มันมีคราวสุขสบายก็เยอะ คราวที่ทุกข์ยาก ทุกข์ยากหมายถึงว่า มันมีความสุขหมุนอยู่นะ มันมีธรรมพื้นฐานหนุนอยู่ แต่ความทุกข์ข้างบนน่ะ ความทุกข์ที่ละเอียด เหมือนเรา เราทำงานอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำใครก็ทำได้ อาบเหงื่อต่างน้ำนะ พอไปบริหาร ฮึ่ม..บริหารไม่เป็นโว้ย บริหารอย่างไร ยิ่งไปรับผิดชอบยิ่งงงใหญ่เลยนะ มันจะพัฒนาของมันของจิต
พูดถึงเรื่องระตะนัตตะเย ระตะนัตตะเยก็เพื่อเปิดสิ่งที่มันเศร้าหมองในหัวใจที่มันสะสมมา ไม่รู้ตั้งแต่ชาติไหน ได้ติเตียนใครไว้บ้าง ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอขมาลาโทษ ข้าพเจ้าทำไปเพราะข้าพเจ้าโง่ ข้าพเจ้าไม่รู้ โง่จริงๆนะ เนี่ย..มองไปสิ เนี่ย..เห็นพระผู้เฒ่านะ พระผู้เฒ่าเดินแทบไม่ไหวนะ เดินกระย่องกระแย่งนะ เราก็บอกเลยว่า ฮู้.. เฒ่าก็ยังไม่เจียมตัว ไม่รู้นั่นนะพระอรหันต์นะ อัดเข้าไปแล้ว โง่ไหม.. เห็นเดินมาย่องแย่งๆนะ โอ้.. ผู้เฒ่าไม่รู้จักอยู่กุฎิ ผู้เฒ่าก็ยังมาเดินๆ อัดเข้าไปแล้ว แล้วไม่รู้น่ะนั่นพระอะไร ก็ไม่รู้นั่นน่ะ เห็นไหมข้าพเจ้าโง่ ข้าพเจ้ารู้ไม่เท่าทัน
อย่าเพิ่งมองคน อย่าเพิ่งตัดสินใครด้วยสายตาของเรา เราไม่มีวุฒิภาวะจะรู้ด้วยหรอกว่าเขาจริงขนาดไหน เขารู้ได้ขนาดไหน เพราะเรานั้นยังไม่ได้สัมผัส ถ้าเข้าสัมผัสกิเลสของเรามันไว มันอัดเข้าไปก่อนล่ะเห็นอะไรไม่ถูกใจล่ะ ซัดเขาก่อนเพื่อนเลย แล้วพอมารู้ความจริงขึ้นมาว่า อันนั้นเป็นของจริงขึ้นมา โอ๊ย.. เวร ล่อไปแล้วดอกหนึ่ง.. ตามไปขอขมาใหญ่เลยนะ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบแล้วกราบอีก ข้าน้อยๆ ข้าน้อยขอขมา ข้าน้อยผิดไปแล้ว ถ้ารู้.. เพราะไม่รู้เห็นไหมอวิชชา ทีนี้เพราะสิ่งนี้มันทำไปแล้ว มันถึงอยู่ในใจเรานะ มันอยู่ในใจเรา
นี่เราคิดของเรา เราคิดของเราเพราะว่าเราเห็นมาเยอะ ทีนี้เราถึงพาทำ พาทำแต่ออกพรรษาเพราะคิดว่าในพรรษา ๓ เดือนนี่ เราอยู่ด้วยกัน ๓ ๔ เดือน มันต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ให้ขอขมาลาโทษกัน อันนี้มันมาจากพระพุทธเจ้า มหาปวารณา วันออกพรรษา พระพุทธเจ้าให้มีวันมหาปวารณาเห็นไหม เราบอกพระพุทธเจ้านี่ฉลาดมาก ทำอะไรน่ะ เราเองทำอะไรทำผิดกันโดยไม่รู้ตัว ท่านก็หาช่องทางให้เราได้ขอขมาลาโทษกัน เพื่อชำระสะสางไอ้ความเศร้าหมองในใจ
พระพุทธเจ้าวางธรรมไว้ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่พวกเรานี่โง่ เวลาศึกษาพระไตรปิฎก โน่นก็ล้าสมัย นี่ก็หมดยุคหมดสมัย อูย.. ปัจจุบันนี้ทันสมัย ทันสมัยมันจุดไฟเผาบ้านตัวเองหมดเลย จุดไฟเผาหัวใจหมดเลยนะ เพราะมันทันสมัยไง มันทันสมัย มันก็จากเทคโนโลยีไง มันลืมรากฐานของมัน ลืมที่มาที่ไป ลืมบุญกุศล บาปอกุศลที่มันเกิดมากับใจ มันปรารถนาแต่ความทันสมัย แล้วมันเผาผลาญ เผาผลาญหัวใจของมัน เผาผลาญทำลาย เพราะมันทันสมัยมันได้อย่างไร
อดีตชาติน่ะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มึงจะทันสมัยไหนก็แล้วแต่ กรรมของมึง คือกรรมของมึง มึงจะสมัยวิเศษวิโสขนาดไหนน่ะ กรรมที่มึงทำมา ก็กรรมของมึงทั้งนั้น มันไม่มีสมัยไหนหรอก สมัยนี่มึงคิดเอาเอง แต่ความจริงก็คือความจริงในใจมึงน่ะ เห็นไหม เพราะเรามันโง่ไง เราถึงไม่เห็นครูบาอาจารย์ ไม่เห็นพระพุทธเจ้าวางหลักธรรมไว้ให้เราไง เพราะเราคิดว่าเราทันสมัย ไอ้นั่นมันครึ มันล้าสมัย ธรรมะมัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ต้องเผามันทิ้งให้หมด เดี๋ยวนี้มันสมัยใหม่ นี่ไงความโง่ไง ศึกษานะยิ่งศึกษาเข้าไปนะ ยิ่งทำเข้าไปนะจะซึ้งมาก ซึ้งธรรมวินัยพระพุทธเจ้ามาก
พุทธวิสัย อจินไตย ๔ ไม่มีใครจะมีปัญญาเท่าพระพุทธเจ้า เวลาเรามีปัญาหากันเห็นไหม เนี่ยเรื่องสิทธิมนุษย์ชนเห็นไหม ไปฟ้องยูเอ็นๆนะ เราบอกมึงจะบ้าเหรอ ยูเอ็นมันเป็นใคร พระพุทธเจ้านี่เป็นเจ้าของพุทธศาสนา เอ็งมีปัญหาเอ็งก็ต้องอยู่กับธรรมวินัยนี่สิ เอ็งจะฟ้องยูเอ็นได้อย่างไร ยูเอ็นมันเป็นใคร เอ้า..ยูเอ็นมันเป็นฆราวาส มันผมดำๆ มันจะมาตัดสินสิทธิเรื่องอะไรของพระได้ นี่ไงคิดทันสมัยไง คิดฟ้องยูเอ็น แต่ไม่คิดฟ้องธรรมวินัยเลย ไม่เปิดธรรมวินัย กูทำผิดอะไรบ้าง เนี่ย..คนมันคิด คิดประสาโลกนะ
พูดนี้จะบอกว่า มุมมองที่เขากระทำ ก็มาจากเวรกรรมของเขานั่นแหละ เวรกรรมในใจของเขานั่นน่ะ มันได้เกิดมาได้เป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาพุทธศาสนา ได้บวชได้เรียนในศาสนานี้ แล้วก็ไอ้เวรกรรมของเขานั่นแหละ มันทำให้มุมมองของเขา ความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้นไป แล้วทำไม..นี่เวรกรรมนะ แล้วถ้าปัจจุบันน่ะมันมีสิ่งเร้า ลาภสักการะไง โมฆบุรุษตายเพราะเหยื่อ ลาภสักการะ ชื่อเสียง อยากดังมาก อยากดัง อยากใหญ่ อยากให้เขารู้จัก อยากให้เขานบนอบ โกหกเขาก็เอา ปลิ้นปล้อนเขาก็เอา เพื่อให้เขายอมรับ ไอ้ตัวเนี่ยทำให้ตัวเองแย่ไปเรื่อยๆ
เราถึงพูดเห็นไหม พุทธศาสนาเป็นศาสนาของสัตบุรุษ ไม่ใช่ของโมฆบุรุษ ถ้าโมฆบุรุษเขาเอามาหาผลประโยชน์กัน ถ้าสัตบุรุษเห็นไหม สัตบุรุษนะ โธ่..เราดูครูบาอาจารย์แล้วมันเศร้าใจนะ เวลาคนแก่คนเฒ่ามา นั่งอยู่เฉยๆ มันก็เหนื่อย ร่างกายมันทรงตัวไว้ไม่ได้ละ กล้ามเนื้อต่างๆ มันล้าหมดละ นั่งอยู่เฉยๆ ก็ทุกข์นะ ร่างกายเราพอชราภาพไป ทุกอย่างมันกดถ่วงตัวมันเองหมดเลย แล้วมันจะมีอะไรน่าปรารถนา มันไม่มีอะไรน่าปรารถนาเลย นี่ยังไม่แก่ไม่เฒ่า มันก็ยังคิดว่าตัวเองจะอยู่ค้ำฟ้า เวลาแก่เฒ่านะ ทำไมคนแก่คนเฒ่าเขาเบื่อล่ะ เบื่อชีวิต เบื่อๆ เบื่อเพราะอะไร เพราะมันชราภาพน่ะ แล้วมึงจะเอาอะไรกัน ถ้าไม่เอาคุณงามความดี ไม่เอาหัวใจ เพราะหัวใจไม่มีแก่ หัวใจไม่มีอายุนะ
เวลาเกิดตาย คนที่มีกิเลสอยู่ก็เวียนตายเวียนเกิด ไม่มีต้นไม่มีปลาย พระอรหันต์ก็สิ้นกิเลสไป หัวใจไม่เคยบุบสลาย หัวใจน่ะธรรมธาตุ ธาตุรู้เนี่ยมันคงที่ของมัน คงที่ของมัน แต่เพราะอวิชชาทำให้ธาตุรู้นี้ต้องเกิดต้องตายไปเรื่อยๆ แต่พอทำความสะอาดปั๊บ ธาตุรู้อันนี้ ธาตุ สสาร ธาตุรู้อันนี้มันสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่มีแรงขับเคลื่อนไป เห็นไหม..ใจไม่มีอายุ ไม่มีวัย ดูสิ คนแก่มันเบื่อหน่ายร่างกาย เบื่อมาก เบื่อมาก เจ็บปวด อ่อนแอมาก แต่หัวใจมันเบื่อไหม หัวใจยังเป็นวัยรุ่นอยู่นะ นี่..หัวใจไม่มีอายุ ไม่มีกาลเวลา แต่มันแก่มาแล้วเพราะชีวิตเรา เพราะอายุขัยนี้เป็นชีวิตนี้
ถ้าเราทำอย่างนี้แล้ว ระลึกถึงตัวเองไง ระตะนัตตะเย ฯ ขอขมาแด่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมสำคัญมาก พระธรรมของพระพุทธเจ้า พระธรรมของพระพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ พระธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เห็นไหม พระธรรมเหมือนกัน พระธรรม พระพุทธ พระสงฆ์ พระธรรมเนี่ย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะตรัสรู้พระธรรมอันนี้ แล้วเราน่ะมันมีสิทธิที่จะรู้อันนี้ได้ แล้วเรามีสิทธิที่จะแก้ไขอันนี้ได้ เราถึงขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิตของเรา เอวัง